Posts

Showing posts from February, 2007

บ้างซึ่ง

บ้างซึ่ง... เสพโลกด้วยเปลวไฟแห่งความชั่วร้าย ตักต้มมหาสมุทร เติมพริกลมพายุ บีบคั้นก้อนเมฆ ฟาดกระเซ็นขอบฟ้า เพียงมื้อเที่ยงน้ำตาขั้วโลกก็ละลายเสียแล้ว ใบหน้าแห้งของผืนดินแดดเดียว ถูกจับทอดขณะไฟแรงจัด ความเจ็บปวดของต้นไม้ แตกกระจายในกองเพลิง ร่วงสู่อาหารว่างยามบ่าย พลบค่ำอันกระหายเร้นลับ ขอดเกล็ดดวงดาวจนเกลี้ยง ก่อนอาหารมื้อใหญ่ หั่นสับเทือกเขาในเงามืด ปิ้งย่างสำราญเริงเล่น ในเครื่องปรุงรสเอร็ดอร่อย แม้ขณะหลับ ยังเผาไหม้ความฝันจนดำมืด บ้างซึ่ง...

ความรู้สึก

Image
ค ว า ม รู้ สึ ก คือสิ่งใดแน่ หรือผลรวมของท้องฟ้าอารมณ์ทั้งหมด คือโตรกธารเศษส่วนซึ่งหารไม่ลงตัว และติดลบ คือแดดแรงแผดเผาอากาศ ซึ่งอย่างไรคล้ายเรียบอยู่เช่นนั้น คือแฝดเหมือนอันแตกต่างความหมาย ข้างนอก และ ข้างใน ทั้งหมด นั้นไม่หมด นั้นหนึบเหนียวคืบคลานในการไหล และฉับไวแทบไม่รู้

จันทร์หาย

Image
จันทร์หาย ดวงจันทร์ครึ่งซีกขวา โอ้...ครึ่งเดียวซึ่งอ้างว้าง เหลืองหม่น กลางแอ่งน้ำตาฟ้า

ถนนที่ยังพร่ามัว

Image
ถนน... .. . . ที่ทอดยาวนั้นน่ากลัว ย่อมมีจุดหมายอ้างว้าง ณ ที่ซึ่ง ห่าง ไกล นัก เวลาที่ความมืดไม่อาจซับน้ำตาได้ เหนือหลังคาแป้นเกล็ดเก่าเก่า สะท้านสั่นดังนกบาดเจ็บ พยายามโบกปีกบนคาคบความเศร้า จดรำลึกเสียงทอดถอนใจ กับตนเองอย่างอ่อนล้า เฝ้ารอ... .. . ถนนซึ่งยังพร่ามัว

ค่ำคืนหม่นหนาว

Image
ค่ำคืนหม่นหนาว ดาวเย็น คิดวนเวียนซ้ำสะท้อน ช้าช้าสั่นคลอน ดั่งอารมณ์ชรา . ... .

อยู่บ้าน

Image
อยู่บ้าน กับผ้าม่านปลิวลม เมฆยิปซี หญ้าฤดูฝน หนังสือบนชั้น หม้อความฝันในครัว ได้ยินเสียงทอดยอดของเถาไม้เลื้อย

นามธรรมสีฟ้า

Image
นามธรรมสีฟ้า ส่งภาษาสายตาดลแรงบันดาลใจ ในลำแสงของความมืด

รสอารมณ์

Image
รสอารมณ์ สีความรู้สึก ฉัน ... เธอ ไม่เคยสัมผัสถึง

ลมกลางคืน

ลมกลางคืน โบกความมืดให้จืดจาง โอ้ จันทร์กระจ่าง ขนมหวานของค่ำคืน

ฉันจดจำเธอ

ฉันจดจำเธอ ดุจใบไม้ร่วง และสายน้ำเลยลับ ในฤดูแล้ง ซึ่งดวงตาเหม่อลอย จดจำเธอไว้ ในพร่าแดดที่ห่างไกล บนทางแยกรกเรื้อ พึมพำราวคนเจ็บไข้

เรียกขานฉัน

Image
เรียกขานฉัน รีบเร่งมาในห้วงน้ำ ขณะคร่ำครวญรำพัน เกาะขอบรั้วบ้าน พ ย า ย า ม มองหา ...................

อย่าลืมฉัน

Image
อย่าลืมฉัน บางครั้งแม้ง่ายดาย ในจุมพิตแผ่วรอบบ้านสายลม รอยยิ้มปลายน้ำค้างจางจาง เอ่ยอารมณ์ครึ่งหลับครึ่งตื่น

สายลมเพศหญิง

เห็นใจด้วยเถิด สายลมเพศหญิงกับโลกเพศชาย เธอเพียงโกนหนวดให้คู่รัก พายุจึงกระหน่ำซัด กระทั่งพื้นดินราบเป็นหน้ากลอง

ลายมือพระจันทร์

Image
ลายมือซึ่งทำให้หวั่นไหว ร่องรอยขีดเขียนเหมือนพระจันทร์ข้างขึ้น เปล่งประกายงาม ตวัดเสมอหนักแน่น กระทบใจฉันไร้วันเวลา โอ้...เรือใบตัวหนังสือ ล่องรินสืบเนื่องจากอ้อมกอดหัวใจเธอ มหาสมุทรสีเข้ม ตัวหนังสือแต่ละตัว ท่วงทีอาวรณ์คิดถึง บรรทุกดวงดาวกุหลาบสะพรั่ง ถ้อยคำคลื่นลมชิงช้า ไหวใจจนอ่อนไหว ใ ห้ฟากฟ้ายามเช้าหอมซ่าน

บางทีเธออาจไม่รู้ว่า

Image
บางทีเธออาจไม่รู้ ว่า ความคิดถึงแห่งฉันนั้น เช่น กอไม้ประหลาด บนเกาะมหัศจรรย์ แม้ฟากฟ้าจะกว้างไพศาล แลดูห่างไกล ระหว่าง แต่กอไม้ความคิดถึงแย้มบาน ไหลทอดสู่เธออย่างลึกซึ้ง เคลิบเคลิ้มสม่ำเสมอ ขณะหลับตาและลืมตา เห็นภาพตนเองพร่างพราว ล่องลอยเลียบเลาะ ปรุงใจถึงเธอ ปรารถนาเธอ ติดตามเธอ ไม่อาจถอนใจจากไปได้

คำพูด

คำพูดซึ่งล่องลอยเต็มรอบ ไหลท้นภายในและภายนอก คำเขียนซึ่งเกินล้นเขตแดน สวมชุดอันคาดเดาไม่ได้ คำอ่านซึ่งมักเต้นแร้งเต้นกา แต่งหน้าทาปากแปลกไปบ้าง ล้วนตัวพยัญชนะเกาะเกี่ยวก่าย ในลักษณะยุ่งเหยิงฉาบเคลือบ ล้วนสระตีลังกาห้อยโหน ในลักษณะเอียงพลิกหงายตะแคงคว่ำ ใช่แล้ว.....ภาษาของประเทศ ยังพยายามในหนทาง

แสงจันทร์

Image
นอนอาบแสงจันทร์ กระทั่งรุ่งราง จันทร์เป็นฉัน ฉันเป็นจันทร์ ลมเอยอย่าไหวแรงนัก ฉันกลัวตกจากแสงจันทร์

สายลมร่ำสุรา

Image
สายลมร่ำสุรา ดวงดาวเมามาย ตรึงกายเธอไว้ ณ โตรกผาใด

โอ้เธอ

โอ้เธอ...กรายมาดั่งนวลแดดราง สีชมพูละมุน ประแก้มหัวใจไหวรัว ขอบฟ้าอารมณ์หวานล้ำ โอ้เธอ...รื่นรมย์คราเที่ยงวัน สีส้มแจ่มซ้อนระลอก รักใคร่ระบายดวงใจสะพรั่ง ดังหีบเพลงปากเริงร่าย โอ้เธอ...พร่ำฝันยามพลบ สีเข้มเนินหุบเขาเวลาเย็น สอดร้อยทุ่งหญ้าระลิ่ว ละเมียดละไมในห้วงรัก โอ้เธอ...ราตรีผู้มีปีกเสมอ สีไกวเปลในม่านตา ถักทอผืนดินเรือนกายสะท้าน ปั่นป่วนฤาสิ้นจาง... หรือ

ดวงใจประเทศ

ต้ น ไ ม้ ซึ่งแตกใบเฉพาะกิ่งก้าน สีคล้ำแห้ง ระทมทุกข์สู่อากาศ อ า ก า ศ ซึ่งแตกค่ำคืนดำมืด สีขลาดแขยง เต็มสะพรั่งทุกทุกข์ ทุ ก ทุ ก ข์ ซึ่งแตกแสงคร่ำครวญ สีเลือด ร่ ว ง หล่น กระหน่ำดวงใจประเทศ อั บ ป า ง

ทุนนิยม

ทุนนิยมนั้นยวนยั่ว เหมือนอารมณ์รัก พร่ำคำนึงภิรมย์ มิแคลงตนจะรวดร้าว ทุนนิยมนั้นทุ่มตัวเ หมือนอารมณ์หลง พร่ำพะวงแน่นหนัก มิแคลงตนจะขมขื่น ทุนนิยมนั้นลึกเร้น เหมือนอารมณ์สุข พร่ำสำราญหวานฉ่ำ มิแคลงตนจะหม่นทุกข์ ทุนนิยมนั้นเบาหวิว เหมือนฝันคว้างพร่ำภาพวิจิตร มิแคลงตนจะค้างฝัน นิ รั น ด ร

ปีที่นำเธอมา

โอ้...ปีที่นำเธอมา รุ่งอรุณทอดยาวจากเวิ้งฟ้า ลึกล้ำซึ่งมีรสหวานนำ ทะเลสาบความสุขเบียดแนบร่าง ปริ่มประกายทุกกิ่งก้านเปล่าเปลือย ลำธารนุ่มฟุ้งสัมผัสชายฝั่งใจ วาบวาวดั่งดาวพราวฟ้า

ประเทศที่รัก

ประเทศที่รักของฉัน เธอผู้มีน้ำใจโอบอ้อม ผ่านแสงตะวันทอและลมลูบไล้ บัดนี้เป็นฤดูกาลใด ลมแผ่วมิทันจะร้อน น้ำมิทันจะเหือดแห้ง ฝนมิทันจะโปรยสาย แต่ผิวกายของเธอกำลังไหม้เกรียม เส้นผมของเธอดูยุ่งเหยิงยิ่ง เสียงของเธอแหบพร่า ฉันเห็นเลือดไหลซึมจากดวงตาหม่น ขณะความมืดทึมไกลโพ้นเกี่ยวรัดเธอ โอ้..... ใครเล่าจะปลอบโยน ประเทศที่รักยิ่งของฉัน

ยามเย็นแสนไกล

โอ้ยามเย็นแสนไกล ความอ้างว้างยาวเหยียดสุดปลายฟ้า ฟุ้งความว้าเหว่ลายดอก ก่อนแดดจะปิดประตู ฉันพับใจเป็นฝูงนก บิน ช้า ช้ า า า ไปหาเธอ

เวลา-หรือ

เวลา - หรือ หนึ่งเวลาหนึ่งลมหายใจ แมงมุมหมุนตัว ใบไม้ร่วงดอกไม้แย้ม ค้างคาวอ้างว้าง แดดทอดย่าง นกสร้างรัง หนึ่งเวลา หนึ่งลมหายใจ บ่งบอกร่องรำพึงชีวิต ใจสุรุ่ยสุร่าย เช่นใดบ้าง หรือเพียง รูปเงาในเวลา

ฉันหวั่นว่า

ฉัน หวั่น ว่า เธอจะหมุนตามลมธรรมดา ซึ่ง อาจ พัด พา เธอไป ในวันหนึ่ง ฉันจึงจ้องมองเธอ ด้วยนัยน์ตาไม่กะพริบ

หัวใจฉ่ำรัก

หัวใจฉ่ำรัก ในป่าพื้นเมืองลึกลับ แดดประหลาดลอดผ่านใบไม้ เถาวัลย์ถวิลเลื้อยรัดหวั่นไหว สายลมในหม้อดิน ยิ่งเคี่ยวยิ่งหวานซึ้ง

เสียงเมือง

หนึ่งวันหนึ่งคืน ในส่วนของเมืองใหญ่ เต็มไปด้วยเสียงอัดแน่น เสียงตึก เสียงกาแฟ เสียงไข่ดาว เสียงโรยน้ำตาล เสียงฝุ่นควัน เสียงสีดำ เสียงทรงกลม เสียงตื้นเขิน เสียงดวงแดด เสียงตัวเลข เสียงทำซ้ำ เสียงอุดมคติ เสียงปฏิบัติ เสียงสมัยนิยม เสียงเจ็บป่วย เสียงทุนนิยม เสียงฟุ่มเฟือย เสียงเหลี่ยมมุม ... .... .... .... ... .. .. ... หรือเสียง ลักขโมยหัวใจคนเมืองไปแล้วทั้งหมด

สัตว์สองขาเร่ร่อน

เป็นจริงที่สัตว์สองขา เร่ร่อน อาศัยอากาศซึ่งก็คือ น้ำที่มีความชื้นน้อย และน้ำที่ปริ่มความชื้นมากกว่า เวียนว่ายเรื่อยไหล เคลื่อนกายเคลื่อนใจ ในห้วงน้ำนั้น ขยับขยายแรงผลักตนเอง ไม่หยุดหย่อน และเหล่านั้นล้วนกระทำรุนแรงต่อน้ำ ตัดแบ่งมหาสมุทรกระ แทกกระทั้นอากาศ กระทั่ง...เสรีภาพบอบบางของน้ำ ขาดสะบั้นลงวันนี้

ทศนิยมไม่รู้จบ

ในวันเวลาที่หาพบ ทศนิยมไม่รู้จบนั่นเอง... ซึ่งปรารถนาอยู่เสมอ โดยรวมแล้วนั้นจุดประกำกวม ยาวไกลไม่รู้จบสิ้นร่อนเร่ไปทางโน้น พเนจรไปทางนี้ดำเนินอย่างอ่อนโยน ดำรงอยู่เนิ่นนาน ก้าวนุ่มนุ่มราวดวงดอกไม้ในแดดเช้า เชื่อมต่อ...เนื่องเสมอ...ไม่มีวันร้างลา แม้จะวางช่องว่าง แผ่วจางหาย แต่กลับปีนป่ายคืนอีกครั้งพร้อมกลิ่นหอมกำจาย ในช่องว่างที่ดิ่งลงนั้นเล่า นั่นมิใช่ห่างเหิน ห่างไกล.....เพื่อจะได้คำนึงหามากขึ้น และยังอุ่นพอให้ทอดซุกกาย ทั้งช่องว่างนั้นคือดินแดนมหัศจรรย์ ราชาทิศตะวันออก ราชินีย่ำรุ่ง กระต่ายใบไม้ นางฟ้าขี้ลืม มังกรพ่นนม ป่าประหลาด ขุนเขาร้างแดด เม่นละห้อย ทุ่งลมเลือน ห้องหนังสือเรือใบ ทศนิยมไม่รู้จบ บันดาลใจให้รื่นเริง และหมองช้ำ แต้มสัมผัสไร้เวลาเถิด เพราะเธอไม่ได้เหยียบย่ำความฝันของใคร

อาณาจักรลึกซึ้ง

อาณาจักรลึกซึ้ง ซึ่งแสนไกล คล้อยอยู่เบื้องหลังอารมณ์ล้ำลึก ฉันยืนอยู่ อย่าง ใจ สั่น ถือถ้วยน้ำหวานดั้งเดิมในจินตนาการ พร่ำรำพึงในใจ ผ่านนัยน์ตาพร่างพรายน้ำตา น่าอนาถกระแสแผ่วของความสุข ฉัน หวาด ผวา ว่า ซึ่งล้วนแขวนค้างบนฟากฟ้าสูง

สีขาวของความคิดถึง

สีขาวของความคิดถึง เธอ คือสีขาวดอกปีบกลางหุบเขา ไกลโพ้น ดอกขาวล่องลอยละมุน เกลื่อนฟ้า คิดถึง กำ จ า ย กลิ่นหอมอารมณ์รัญจวนอารมณ์ กลางเดินทางรำพึงรำพัน อ่อนหวานใจที่ได้คิดถึง เธอ

ฉันเพียงว่า

ฉัน เพียง ว่า ในผู้คนมากมายนั้น เต็มไปด้วยความขัดแย้งหลากหลายชนิด และล้วนหลุมพรางทิ่มแทง ซึ่งไม่มีความเมตตา และยิ่งพบเพิ่มชิ้นส่วนของความแตกต่าง ตั้งมั่น ไม่มีพื้นที่เหลืออยู่เลย และเกิดขึ้นแล้วไม่ยอมเชื่อมต่อ เป็นเหมือนแม่เหล็กขั้วเหมือน ซึ่งกระแทกห่างด้วยแรงผลัก ในผู้คนมากมายนั้น ฉัน เพียง ว่า

จันทร์แหว่งสีขาว

จันทร์แหว่งสีขาว ลอยฟ้าซีดทางทิศตะวันตก แดดโดดเดี่ยวยามเย็น คือความอ้างว้างไล่ตามเกาะใบไม้ ทีละใบ แล้ว ร่วง หล่น ลงสู่ความสิ้นหวัง ใบแล้ว ใบเล่า ใบไม้ ช่างมากมายเสียเหลือเกิน

ในใจ

ในใจ ซึ่งมีหลายหลายชั้น สูงมากมาก และลึกมากมาก ด้วย และ แบ่งซอยออกเป็นห้องไร้ทรงเล็กเล็กย่อยย่อย ใหญ่ใหญ่กว้างกว้าง นับจำนวนไม่ได้ เบียดเบียดเบียด รกรุงรัง เปิดเผยปกปิด เป็นระเบียบท่ามกลางเช่นนี้นาน นานกี่ชั่วชีวิตมาแล้วนะ เกิดย้ำกระทบซ้ำ ในใจ

ระเบียงจันทร์ครึ่งดวง

ระเบียงจันทร์ครึ่งดวง เสน่หาราตรีหลังฝนตก ชั่วครั้งชั่วคราว ค่ำคืนที่ถ่อมตน ระหว่างที่ลมชื้น บังเอิญ แวะเวลาผ่านมา ความสุขแห่งรัตติกาลนั้น เจ็บป่วยเสียแล้ว ความรื่นรมย์ตกเรี่ยราดคล้ายดวงดาว ซีดซ้ำรอยพร่า เมฆคลายตัวสงัดเงียบ จางลาอย่างน่าเอ็นดู หรือ ความฝันสะดุ้งในหยาดฝนบาดเจ็บ ขาดสาย หลังจากมีความสุขแบบก้ำกึ่งหรี่แสง

ลมสีฟ้าว้าเหว่

ค่ำ - คืน ลมสีฟ้าว้าเหว่ ทำให้ดวงจันทร์เหงา ไหวเสียงลมทอดแผ่วจากไกล ไ ก ล ณ ที่ซึ่งการรอคอย ดังเช่นวันก่อนเก่า บานประตูไม่อาจข่มตาหลับ เต็มไปด้วยบทกวีเปล่าเปลี่ยว กลางทะเลไร้ฟากฝั่ง ที่พักอิง ขณะคลื่นวนครั้งแล้ว ครั้งเล่า

กลิ่นหอมของวัยเยาว์

ติดตาม กลิ่นหอมสดชื่นของวัยเยาว์ ซึ่ง ไม่ยอมโตวิ่งกรูเต็มฝูงฝั่งลมหายใจ ด้วยดวงตาดั่งแก้วใส พร้อมจากบ่อน้ำยิ้มแย้ม ยินเสียงหัวเราะสีทองวูบวาบ เริงระบำ จาก หน้าต่างความฝันซึ่งเปิดตากว้าง มหัศจรรย์ในธรรมดาของทุกสิ่ง เรื่อยไป เล่นเพลินบนที่คาดผมสายรุ้ง ตามถนนขนมสายลมหวานชื่น มีปราสาทดวงจันทร์รอคอย เหนือธารน้ำนิทานขุนเขา ขีดเขียนด้วยลายมือทุ่งหญ้ารก ถักร้อยดอกไม้หลากสีฝัน เหล่านี้นั้น ในที่สุด ล้วนกลิ่นหอมของวัยเยาว์ ไม่ยอมโต ตามติด

บทกวี

บทกวี บนทางเดินเท้าเล็กเล็ก ทอดยาวคดเคี้ยวในทุ่งจินตนาการ เมื่อวาน วันนี้ และพรุ่งนี้ แสงสว่างของถ้อยคำปรากฏขึ้นไม่เคยรีรอ เป็นแมลงที่กระโดดเสรี ปลายเท้าคือรอยหมึกอีกลักษณะหนึ่ง ดังปีกของนกซึ่งประทับขีดรอยในสายลม การสบตาอารมณ์ฝันใฝ่ บางครั้งที่เข้าใจยาก อาจเพราะยังไม่มีผู้ใดบุกเบิก รอยประทับของเงาใกล้ใกล้บทกวี บทกวีทั้งหมดยังหมุนตัวบนทางเดินเท้า ขุดเซาะร่ายมนต์คำกับทุกสิ่ง ไม่มีวันขาดหาย ไม่มีวันจางแห้ง

พะวงถึงเธอ

ดอกไม้ในยามเย็นบอบบาง รอยจูบถ้อยคำอ่อนโยน อาศัยสายลมถักร้อยธารเมฆ เป็นภาพเขียนพลิ้วโชยสู่เธอ ด้วยใจปรารถนา หวังปรากฏสะเก็ดดาวอันห่างไกล สุดสายตาความทรงจำ กับจันทร์เสี้ยวปรายแสงอยู่เบื้องหลัง ค่อยค่อยเคลื่อนเดินทางเอื้อนเอ่ย แผ่วผ่านรำพึงว่า ฉัน...พะวงถึง...เธอ

จึง ป่วย ใจ

จึง ป่วย ใจ พื้นหลังสีเหลืองอ่อน ในบทกวีของเหตุการณ์หอมประหลาด กลิ่นโน้มน้าวใจของบทนำ ประดิดประดอยภาพเร้า จึง ป่วย ใจ รายละเอียดนะหรือ คือตัวละครซึ่งไร้บทพูด อยู่ตรงซอกตู้แนวนอน มีเพียงแต่สายตาเหงาเหงาเท่านั้น จึง ป่วย ใจ ในส่วนรวมซึมหม่น เสียงทอดถอนใจละห้อย กระหายมิรู้จักอิ่ม จิตสำนึกจ่อมจมปรารถนาทั้งมวล จึง ป่วย ใจ ไร้กระแสแห่งตัวตนตัวบท ซึ่งมุ่งไปสู่อีกผู้หนึ่ง ปรากฏอย่างเด่นชัดในปริมาณมาก จึง ป่วย ใจ

เดินเตร็ดเตร่

http://http://www.ankiewicz.com/paintings/verysmall/Little.Road.jpg เดินเตร็ดเตร่เลื่อนลอย ไกลออกไปบนฟ้ามีแสงลี้ลับ เส้นทางไม่เป็นที่รู้จัก ก้ำกึ่ง แปลกแยก ดื่มด่ำ และอาจซ่อนเร้น ความรู้สึกแขวนอยู่ทั่วไปกลางอากาศ ดั่งสิ่งเสพย์ยามรุ่งอรุณ ปลิดชิมมิรู้ตน ดวงดอกไม้ประหลาด หอมสีสรรพ์กลิ่นบทเพลง ไหลหลั่งดั่งธารน้ำเก่าแก่ อย่างขี้เกียจ ดวงดาวยามค่ำผุดขึ้นกลางท้องฟ้า ด้วยรอยยิ้มยวนใจ ฝูงนกร้องรื่นเริงอยู่ตรงปลายเส้นผม หัวใจลิ่วลอยตามเสียงนั้น โลดขึ้นไป บินลับ แล้วจางหาย...ไม่ทันคว้า ครั้งแล้ว ครั้งเล่า พงหญ้ารกข้างทางเล่า กำลังบ่มฟองไข่ ปริแตกเป็นใยแมงมุม นั่นคือกับดักซ้ำซ้อนในหนทาง คร่ำครวญซิ... หัวเราะเถิด... หากรักใคร่ความรื่นรมย์พลุ้งพล่าน ความล้มเหลวกลายเป็นวุ้น ก่อนจะตัดแต่งตนเอง อีกครั้ง ร่อนเร่ไปทางโน้น ขณะแมลงเข้าสู่ด้านหลัง ลอกคราบ... อย่างเศร้าซึมโดดเดี่ยว รากฝอยกลับเจาะไชออกจากปลายเท้า ก้มมองอย่างคุ้นเคย ณ ที่นั้น เด็กน้อยในดวงตา ไม่อยากถอนสายตา

ฉันซุกบ่ม

ฉันซุกบ่มซึมเซา อยู่ในเทือกภูคราม ไม่ยอมถูกกระทำ ด้วยถ้อยคำซึ่งล่ามโซ่ความปวดร้าว ด้วยดวงใจโง่เขลาของทาสผู้รับใช้ ปั่นทอความสัมพันธ์อย่างซื่อสัตย์ จนอ่อนล้า... ไม่ยอมถูกกระทำ ด้วยความเงียบขมปร่า รินไหลเซาะเนื้อตัว ในซอกอารยธรรมที่ถูกกล่าวหาว่าล้าหลัง ซึ่งลิดรอนสิทธิ์อ้างโดยความรื่นรมย์ บนฝ่าเท้าย่ำยีความฝัน ดินแดนที่ลมไม่เคยพัดพา โอ้ฉัน...ผู้บิดเกลียวตนเอง

ผู้หญิงสีน้ำตาล

ผู้หญิงสีน้ำตาล ดวงตาสีอำพัน ใบหน้าเหมือนเชือกกล้วย นั่งกอดเข่าหลวมหลวมเหนือขุนเขาสีน้ำผึ้ง ผ่านทุ่งหญ้าซึ่งถูกแดดเผาจนเกรียม ชีวิตถูกเคี่ยวจนเกือบแห้ง ไม่ รู้ จัก ตน เอง ตนเองไม่รู้จัก เพลิดเพลิน...หรือ ไร้ปรารถนา...หรือ ดอกไม้อารมณ์สีดินเผากลับปล่อยวาง... ล่วงพลิ้วตามสายลมสีเปลือกไม้ ฤดูน้ำหลากโคลนขุ่น พัดพาเส้นโค้งเปลญวนเลยลับ เวลาสนิมจับเขรอะบนถนนสีชาเย็น เปลวไฟสีส้มของดวงดาวใกล้มอด โอ....หัวใจสีน้ำตาลเอย กลิ่นไหม้ฤาหอมหวาน

วันตากผ้า

วันตากผ้า แดดสายกระจ่างสว่างไสว เสื้อผ้าบนราวเค้าคลอสายลมแสนสุข กระซิบกระซาบถ้อยคำหวานแผ่วพลิ้วสู่ทิวฟ้าไกล หุบเขาสวยงามมีชีวิตชีวา พื้นดินสีน้ำตาลเย้ายวน อบอวลกลิ่นหอมสีเขียวสด มุ่นหมอกขาวละอองฝ้าย ฟุ้งแสงจันทร์... รุ่งอรุณทอผ้าผืนใหม่ธารแดดแต่งแต้มลวดลายหลากสี ใจเอย... ท่วมท้นฝั่งฝันสีชมพูนวล ท่ามกลางหลับใหล ท่ามกลางมนต์ดาว โอ้...ละมุนละไมกลิ่นหอมของผ้า กลิ่นหอมของแดด หรือกลิ่นหอมของเธอที่เฝ้าฝันถึง

โอ้...ประภาคาร

โอ้...ประภาคารเหลือบแลปรัชญาเวิ้งทะเล นักโดดเดี่ยวสวมหมวกสายลมว่างเปล่า ต้นไม้ใหญ่ในธาราอารมณ์ดี เช่นห้องนั่งเล่นบนแก่งหินในห้วงรำพึง ซึ่งเรืองรองด้วยตะเกียงแวววาม ผู้ถือครองกล่องมหัศจรรย์ทุกลิ้นชัก เป็นเสื้อกันหนาวของเรือว้าเหว่ โอบเอื้อดั่งแสงทองเอิบอาบ ยืนอ่านค่ำคืนดาวประกายพรึก ย่ำแลกลางวันละเมียดละไม ทุกกลิ่นกระเพื่อมความใฝ่ฝัน ระแวดระวังราวดวงตามหาสมุทร โอ...สีน้ำเงินเข้มลึก แว่วบทเพลงยินดีจากเรือร่ำไห้ ปรากฏแห่งเธอ....ช่างมั่นคงทุกขณะ กรุณาให้ความวาดหวังนอนหนุนตัก เสน่ห์แห่งความพึงใจในเธอเถิด ประภาคารเอย
จำได้ไหม ผู้นั่งเล่นอย่างนุ่มนวล ใน เธอกับคืนวันที่ผ่านมา กลางอารมณ์ดอกไม้ เซาะพื้นความทรงจำ ซึ่ง เธออาจลืมเลือน จำได้ไหม ผู้ซึ่งเป็นผลไม้ค่ำคืน ใน ลึกซึ้งความเคยชินบนผิวกาย กระวนกระวายหอมหวานแห่งเดียว กลางท้องฟ้าทางเดินรำพึง ซึ่ง เธอไม่อาจไม่คุ้นเคย จำได้ไหม ผู้ซึ่งแนบเนื้อยามลมพัด ใน แทรกซึมลมหายใจ ก้าวทวนซ้ำระหว่างเงียบเชียบความหมาย ธรรมดาทว่าเต็มล้น ซึ่ง เธอไม่อาจไม่ขานตอบ จำได้ไหม ฉัน... ฉัน ซึ่ง โปร่งใส ไม่มีวันสิ้นสุด มิย่อมมิแลเห็น กลางแผ่วผ่านลมหายใจ ใน เธอเอง

ดาวตกกรีดแก้มฟ้า

Image
ดาวตกกรีดแก้มฟ้า สิ่งใดหนอ กรีดใจจนไหวพลิ้ว